ทำความรู้จัก MERCEDES-BENZ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า เบนซ์ เป็นรถยนต์สัญชาติเยอรมัน ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวสามแฉกถูกล้อมรอบด้วยวงกลม ก่อตั้งในปี ค.ศ.1926 โดยเป็นการรวมตัวกันของผู้ผลิตรถยนต์สองรายซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ยุคบุกเบิก ได้แก่ บริษัท Daimler Motorengesells- Chaft ก่อตั้งเมื่อปี 1890 โดย โกทท์ลีบ ไดม์เลอร์ (Gottlieb Daimler) ซึ่งเป็นผู้ที่ประดิษฐ์รถยนต์สี่ล้อคันแรกของโลก และบริษัท Benz & Cie ของคาร์ล เบนซ์ (Carl Benz) ผู้ที่ถือได้ว่าเป็นนักประดิษฐ์ที่ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายคนสำคัญของโลก

มาจากชื่อลูกสาวของเอมิล เยลลิเน็ก ซึ่งมีความหมายว่า “ความสง่างาม” เหตุผลที่นำชื่อนี้มาใช้นั้นเพราะเมอร์เซเดสเป็นลูกค้าคนสำคัญของไดม์เลอร์ อีกทั้งยังนามแฝงที่เยลลิเน็กใช้ในฐานะนักแข่งรถ และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดจำหน่ายรถยนต์และเผยแพร่รถยนต์ของไดม์เลอร์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอีกด้วย

โดยในปี ค.ศ. 1900 บริษัทของไดม์เลอร์ได้ส่งรถยนต์คันแรกที่ติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดกำลังแรงสูง ความเร็ว 35 แรงม้า หน้ารถขับเคลื่อนด้วยแรงส่งของล้อ ด้านหลังสองล้อ มีโครงสร้างเป็นเหล็กกล้า กระจังหม้อน้ำแบบรวงผึ้ง ดวงไฟ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ทันสมัย นับว่าเป็นประดิษฐกรรมที่มีความสำคัญมาก ๆ ในยุคนั้น โดยเยลลิเน็กได้นำไปแข่งขันที่สนามของเมืองนีซ ในเดือนมีนาคม ปี 1901 หลังจากนั้นรถยนต์ที่เมอร์เซเดสใช้แข่งกลายเป็นที่น่าสนใจต่อสารณชนมากขึ้น กลายเป็นตำนานในหน้าประวัติศาสตร์ยานยนต์ และได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบรถยนต์สมัยใหม่คันแรกของโลก นอกจากนั้นยังเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้ผลิตรถยนต์คอนเซ็ปต์ใหม่ๆ อีกมากมาย

สัญลักษณ์ของ MERCEDES-BENZ

สัญลักษณ์รูปดาวสามแฉกที่เป็นที่จดจำของคนทั่วโลกนั้น เป็นสื่อแทนความมุ่งมั่นของเดมเลอร์ที่จะพัฒนาระบบขับเคลื่อนยานพาหนะทั้ง ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ มาจากการที่ไดม์เลอร์ ได้นำรูปดาวไปติดไว้เหนือหลังคาบ้าน และเขียนจดหมายบอกภรรยาไว้ว่า สักวันหนึ่งดาวดวงนี้จะเปล่งประกายเหนือโรงงานของเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ ซึ่งเขาได้นำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทดีเอ็มจี และได้รับการยอมรับ จนได้นำไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในรูปของดาวสามแฉกในเดือนมิถุนายน ปี 1909 และติดตั้งเป็นตราสัญลักษณ์อันโดดเด่นเหนือกระจังหม้อน้ำรถยนต์ตั้งแต่ปี 1910 เป็นต้นมา

เบนซ์คันแรกในไทย

เริ่มเข้ามามีบทบาทเมื่อรัชกาลที่ 4 ได้มีการตัดถนนสายแรกที่มีชื่อว่า “ถนนเจริญกรุง” เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรของรถม้าและรถลาก จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดถนนเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย จนกระทั่งในปี 1904 กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้สั่งซื้อรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส โดยปรากฏหลักฐานการสั่งซื้อผ่านเอกอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส โดยมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ.1904 โดยกรมหลวงราชบุรีฯ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5 ทำให้รถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่น 28 HP 4 สูบ เครื่องยนต์ 35 แรงม้า หมายเลขแชสซี 2397 หมายเลขเครื่องยนต์ 4290

ประเภทรถ MERCEDES-BENZ

Saloon และ Coupé

สำหรับรถเบนซ์ประเภท Saloon รุ่นต่างๆ เรียงลำดับจากเล็กไปใหญ่ ได้แก่ รุ่น  A-Class, C-Class, E-Class และ S-Class

ในส่วนของรถเบนซ์ประเภท Coupé รุ่นต่างๆ เรียงลำดับจากเล็กไปใหญ่ ได้แก่ รุ่น C-Class, E-Class และ S-Class โดยมีรุ่นพิเศษสำหรับรถยนต์สปอร์ต Coupé 4 ประตูออกมาโดยเฉพาะได้แก่ รุ่น CLA และ CLS 

  • เบนซ์ A-Class

Mercedes Benz ได้สร้างสรรค์รถยนต์คอมแพ็ค (Compact Car) มาต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 1977 จวบจนปัจจุบันกับ The New A-Class เจเนอเรชันที่ 4 รุ่น Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ที่เพิ่งออกในปี 2019 ยังคงรูปลักษณ์ปราดเปรียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ตระกูล A-Class อยู่อย่างเต็มเปี่ยม เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความเท่ แต่เรียบง่าย และไม่เรียกร้องความสนใจจนเกินไป

เป็นรุ่นเล็กใช้เครื่องยนต์ขนาด 1,332 ซีซี แต่ให้กำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ซึ่งถือเป็นคอมแพ็คคาร์ ที่มีกำลังแรงม้ามากที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เท่ากัน นอกจากนั้น ยังมีอัตราการปล่อยไอเสียต่ำเพียง 119-124 กรัม/กม. และยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 5.2 ลิตร/100กม. เท่านั้น แม้จะยังไม่ได้ลดโลกร้อนเท่ากับ Eco Car แต่ก็ถือว่าได้ใจคนรุ่นใหม่ไม่ต่างจากรถเบนซ์รุ่นต่างๆ ที่ใหญ่ เร็ว และแรง

  • เบนซ์ C-Class

ถ้าเทียบกับรถเบนซ์รุ่นต่างๆ รถยนต์ตระกูล C-Class ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมและขายดีมากๆ รุ่นหนึ่งของค่ายนี้ เพราะ ขนาด Mid Size สไตล์ดูภูมิฐานกว่าตระกูล A-Class อีกทั้งยังมีกำลัง และอัตราเร่งที่สูงกว่าอีกด้วย แต่ยังคงอยู่ในระดับราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง

โดยในปัจจุบัน Mercedes Benz ได้ผลิตรถยนต์ตระกูลนี้มาจนถึงเจเนอเรชันที่ 4 และสามารถสนุกได้กับทั้งสไตล์ Saloon กับรุ่น C 220 d Avantgarde, C 300 e Avantgarde และ C 300 e AMG Dynamic ซึ่งตัวหลังให้กำลังสูงสุดถึง 211 แรงม้าเลยทีเดียว ส่วนคนที่ชื่นชอบสไตล์ Coupé ก็โฉบเฉี่ยวไปกับ C 200  AMG Dynamic ที่ตัวถังเล็กกว่าแบบ Saloon เล็กน้อย แต่ให้กำลังสูงสุดถึง 184 แรงม้า

  • เบนซ์ E-Class

หากเทียบให้ A-Class เป็น First-Jobber ที่รักความเท่, C-Class คือ คนทำงานไฟแรงที่กำลังก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ E-Class ก็คงเป็นนักธุรกิจที่มั่นคงทั้งอำนาจและเงินตรา และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้รถยนต์ตระกูล E-Class กลายเป็นรถประจำตำแหน่งผู้บริหารที่ใครๆ ก็ยอมรับ แถมยังเป็นรถที่นอกจากจะน่าขับแล้ว ยัง ‘น่านั่ง’ เพราะภายในหรูหรากว่าตระกูล C-Class กว่าอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังนุ่มนวลอีกด้วย

  • เบนซ์ S-Class

Mercedes Benz ตระกูล S-Class ได้เดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 6 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยยังคงวางมาดรถซาลูนสุดหรูคันนี้ ไว้อย่างดีเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง จนได้ฉายาว่าเป็นหนึ่งใน ‘รถนั่ง’ ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับรถเบนซ์รุ่นต่างๆ  ทั้งเบาะหนังชั้นดี เบาะหลังที่ปรับเอนได้ ช่วงล่างแน่นไม่มีหวิว รับประกันด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด เมื่อเที่ยบกับรุ่นแกนทุกรุ่น

Crossover / SUV / Offroad

รถยนต์แนวครอสโอเวอร์ เรียงลำดับจากเล็กไปใหญ่ ได้แก่ GLA-Class, GLC-Class, GLE-Class, GLS-Class และ G-Class

Carbriolet

รถยนต์เปิดประทุน เรียงลำดับจากเล็กไปใหญ่ ได้แก่ E-Class, S-Class, SLC-Class และ SL-Class โดย 2 รุ่นหลังเป็นรถยนต์ประเภท Sport Roadster ที่เหมาะทั้งกับการขับชมวิว

รถแวน

คลาสรถเบนซ์สำหรับรถตู้ Premium Van นั้น หรือที่เรารู้จักกันในนาม V-Class ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานอาจเหมือนกับรถตู้ทั่วไป แต่มีความนุ่มนวล และหนักแน่นของช่วงล่าง เหมาะกับการขับขี่ทางไกลแบบ Long Cruising ที่เยี่ยมยอด

Popular Post