ทำความรู้จัก 1 ในรถไฝ่ฝันของใครหลายๆคน รถมินิ MINI

ว่าด้วยเรื่องรถ วันนี้เราจะพาท่านมาทำความรู้จัก รถมินิ MINIรถยนต์ยี่ห้อนี้กัน ว่าทำไมถึงมีแต่คนอยากได้มาครอบคลองรถมินิมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่มินิรุ่นคลาสสิค (สะกดว่า Mini) และนิวมินิ ที่อยู่ใต้ชายคาของ BMW Group ในที่นี้จะสรุปไว้เฉพาะรถนิวมินิ (MINI) ซึ่งผมจะพยายามรวบรวมมาอัพเดทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

R50 (2001-2006 : MINI One / MINI Cooper)

ในปีแรก MINI ถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยล็อตแรก 30 คัน (ล็อตแรกนี้มีพิมพ์ลงหน้ากากของเข็มวัดรอบเป็นธงชาติไทย Launch Edition xx/30 ด้วย ถือเป็นล็อตที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน) ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ มินิเป็นอย่างดี จนมีจำนวนรถมินิในไทยมากมายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

2004 – R50 Facelift (Minor Change)

ในปี 2004 ทาง MINI ได้ปรับโฉม R50 เล็กน้อย (minor change) มีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น และปรับหน้าตาของกันชนหน้า กันชนหลัง ไฟหน้า ไฟท้ายใหม่ วิธีการสังเกตอย่างง่ายคือ ไฟท้ายของ R50 facelift จะมีไฟถอยอยู่ด้านในทั้งฝั่งซ้ายและขวา ส่วนไฟตัดหมอกหลังจะอยู่ตรงกลางกันชนหลังเป็นเม็ดสีแดงๆ เม็ดเดียว

การ Facelift ครั้งนี้ เป็นช่วงที่แบรนด์ MINI เริ่มลงตัวมากที่สุด และเป็นช่วงที่ MINI กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทั่วโลก เริ่มมีการออก MINI รุ่นพิเศษออกมา ซึ่งจะพูดถึงในตัวถัง R53 ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกันครับ

R53 (2002-2006 : MINI Cooper S)

ในยุคแรกของ MINI นั้น ทาง MINI ได้แบ่ง Cooper S ออกมาเป็นอีกรหัสตัวถังอย่างชัดเจน ด้วยรหัส R53 ครับ ซึ่ง MINI Cooper S เป็นรุ่นที่ MINI เน้นในเรื่องของความเร็วความแรง ถึงแม้จะใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเหมือนกับ MINI Cooper แต่มีในส่วนของ Supercharger ติดมาให้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ R53 ที่คลาสสิค ทั้งในเรื่องของฟีลลิ่งในการขับขี่ และเรื่องของเสียงซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ ที่ถึงแม้ว่า MINI ทุกวันนี้จะไม่ได้ใช้ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์แล้ว แต่แฟนๆ มินิที่ขับกันมาตั้งแต่ยุค R53 ก็ยังคงติดอกติดใจกับเสียงอันไพเราะของมันอยู่

วิธีการสังเกต R53 ได้ง่ายที่สุดคือฝากระโปรงหน้า จะมีสกู้ปดักลมอยู่ตรงกลาง หรือหลายคนเรียกมันว่าจมูกนั่นเองครับ และอีกจุดหนึ่งที่ชัดเจนมากคือท่อไอเสียด้านหลัง จะเป็นท่อคู่ ออกตรงกลางรถ แตกต่างจาก MINI One และ Cooper ที่เป็นท่อเดี่ยว ออกทางด้านขวาของตัวรถ

จมูกของ R53 ที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้การทำงานของซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ MINI Cooper S มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าปัจจุบัน MINI Cooper S จะไม่จำเป็นต้องใช้สกู้ปดักลมแล้ว แต่ MINI ก็ยังคงมีจมูกมาให้กับ MINI Cooper S ทุกโมเดล (รวมถึงท่อไอเสียคู่ด้วย)

2004 – MINI Monte Carlo Edition (MC40)

ต้นปี 2004 ซึ่งเป็นปีฉลองครบรอบ 40 ปีมินิได้แชมป์แรลลี่ Monte Carlo เมื่อปี 1964 ที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์มินิเป็นอย่างมาก โอกาสนี้เอง ที่งาน Chicago Auto Show ทาง MINI ได้ออกรถรุ่นพิเศษชื่อ 40th Anniversary Monte Carlo Limited Edition (เรียกย่อว่ารุ่น MC40) จำกัดเพียง 1,000 คันทั่วโลก ทุกคันเป็นสีแดง มีสติ๊กเกอร์พิเศษ ตกแต่งลวดลาย Monte Carlo พร้อมเลข 37 ที่ประตูรถ ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกับที่มินิเข้าแข่งขันแรลลี่ในปี 1964 และได้แชมป์มา รุ่น MC40 นี้มีเข้ามาวิ่งในไทยด้วยเพียงไม่กี่คันเท่านั้น

2004 – R53 Facelift (Minor Change)

ในปี 2004 ปีเดียวกับที่ R50 ปรับโฉม ส่วนของ R53 ก็ปรับเช่นเดียวกัน โดยมีการปรับปรุงในส่วนของหน้าตา กันชนหน้า กันชนหลัง ไฟหน้า ไฟท้าย และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ให้แรงขึ้นเล็กน้อย จากเดิม 163 แรงม้า เป็น 170 แรงม้า

2006 –  Seven / Park Lane / Checkmate Special Edition

ปีสุดท้ายของตัวถัง R50/R53 ทาง MINI ได้ออกรถรุ่นพิเศษ Special Edtion มาทั้งหมด 3 รุ่น คือ MINI One Seven (ตัวนี้เป็น R50 แต่ขอเอามาไว้ในหมวดนี้), MINI Park Lane (ในไทยมีทั้ง Cooper และ Cooper S) และ MINI Checkmate (มีเฉพาะ Cooper S) มีการตกแต่งพิเศษ ด้วยสติ๊กเกอร์ ป้ายบอกรุ่น และวัสดุพิเศษ ล้อลายพิเศษในแต่ละรุ่น ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น รุ่น Park Lane ตัวรถเป็นสี Royal Grey ที่ไม่มีในรุ่นอื่นๆ (แต่นำมาใช้อีกครั้งในรุ่น R60 Countryman ปี 2010) หรือในรุ่น Checkmate ที่มีการตกแต่งเป็นลายหมากรุก เช่นเดียวกับธงเส้นชัยในสนามแข่งรถ ที่ภายหลังได้รับความนิยมเอามาแต่งรถ MINI ในลักษณะเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทั้ง 3 รุ่นนี้ผลิตในช่วงเวลาจำกัดเพียงไม่กี่เดือน มีนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และยังเห็นวิ่งอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน

2006 – MINI Cooper S with JCW GP Tuning Kit Limited Edition

MINI GP ตัวนี้ มาพร้อมสีพิเศษ Thunder Blue มีชุดแอโร่ไดนามิก ทั้งกันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์หลัง ล้อลายพิเศษ 18 นิ้ว เบรค John Cooper Works ด้านในมีเพียงเบาะคู่หน้า ส่วนเบาะหลังถูกถอดออก ติดตั้งเป็น anti-roll bar เบาะคู่หน้าเป็นเบาะชุดพิเศษจาก Recaro มีการตัดออพชั่นหลายอย่างออกไปเพื่อลดน้ำหนัก ทั้งแอร์อัตโนมัติ ที่ปัดน้ำฝนหลัง เซนเซอร์ถอย มีการจูนเครื่องยนต์ให้แรงที่สุดเท่าที่มินิเคยผลิตมา (ในยุคนั้น)  โดยใช้เครื่องยนต์ MINI Cooper S แต่งเสริมด้วย JCW GP Tuning Kit เคลมความแรงอยู่ที่ 218 แรงม้า ประกอบที่โรงงาน Bertone ประเทศอิตาลี เป็นรถรุ่นที่ชาวมินิสะสมมากที่สุดรุ่นหนึ่ง มีการนำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระมาจำหน่ายในบ้านเราหลายสิบคัน ทุกวันนี้ยังพอเห็นได้อยู่ครับ

R52 (2005-2008 : MINI Convertible)

ในปี 2005 ทาง MINI ได้เปิดตัว “มินิเปิดประทุน” เป็นครั้งแรก ในชื่อรุ่น MINI Convertible หรือบางตลาดอาจเรียกว่า MINI Cabrio ภายใต้รหัสตัวถัง R52 มีทั้ง Cooper และ Cooper S ซึ่งฟีเจอร์ทั้งหมดจะเหมือนกับ R50/R53 ในรุ่นปีที่ทำการ facelift แล้ว แต่หลังคาเป็นผ้าใบ สามารถเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า 100% และ MINI R52 นี้ ถูกใช้ในงานโฆษณาจากหลากหลายแบรนด์ทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นของแบรนด์ และความสวยงามตอนเปิดหลังคาของมัน

2007 – MINI Convertible Sidewalk

ในปี 2007 ทาง MINI ได้เปิดตัว MINI Convertible รุ่นพิเศษ ในชื่อ Sidewalk ซึ่งมีการตกแต่งพิเศษหลายจุด ทั้งสีพิเศษ Sparkling Silver, สีเบาะ Malt Brown English, ล้อ 17″ ลายพิเศษ Night Spoke (ลายนี้พิเศษมาก เพราะไม่ถูกนำมาใช้มินิในรุ่นอื่นๆ อีกเลย) และการตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์ชื่อรุ่น Sidewalk ด้านข้างรถ โดย MINI Convertible Sidewalk มีนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด ในไทยมีเพียง 10 คันเท่านั้น

R56 (2007-2013 : MINI Hatchback)

ความเปลี่ยนแปลงจุดใหญ่จุดหนึ่งของ R56 คือ MINI Cooper S ที่ไม่ได้ใช้ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์แทน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่องยนต์ได้มากขึ้นกว่าเดิม ตัวเลขความเร็วสูงสุด รวมถึงอัตราเร่ง ทำได้ดีกว่า R53 มาก แต่ก็สูญเสียเอกลักษณ์ของซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ไป ทั้งคาแรคเตอร์ในการขับขี่และเสียง รวมถึงช่วงล่างที่นิ่มผิดกันเยอะ จนแฟนๆ มินิหลายคนบ่นกันว่าสูญเสียเอกลักษณ์ แต่ก็แลกมาด้วยความสบายขึ้นทั้งคนขับและคนนั่ง

เครื่องยนต์ที่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด จาก Tritec 4 สูบ ไปใช้เครื่องยนต์ Prince 4 สูบ วาล์วทรอนิก ที่เกิดจากความร่วมมือของ BMW Group กับ PSA Peugeot Citroen ใช้ความจุ 1.6 ลิตรสำหรับ MINI One และ Cooper / 1.6 ลิตร ทวินสกรอล-เทอร์โบ สำหรับ MINI Cooper S และ JCW

ตัวเครื่องยนต์ Prince Engine ที่ใช้ใน Gen.2 ทั้งหมด ผลิตที่โรงงาน BMW Hams Hall Engine Plant ใน Warwickshire ประเทศอังกฤษ และถูกส่งมาประกอบเข้ากับรถยนต์ที่โรงงาน MINI Oxford Plant (BMW Group Plant Oxford)

ในปี 2008 เป็นต้นมา เทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดน้ำมันของทาง BMW ที่ชื่อ BMW Efficient Dynamics  นั้น ถูกเอามาประยุกต์ใช้กับ MINI เช่นกัน ภายใต้ชื่อ MINIMALISM ใช้คอนเซปต์ “น้อยกว่าแต่ให้ได้มากกว่า” หรือ “Less is More”

R56 นับถึงปัจจุบันมีการปรับปรุง minor change 1 ครั้ง ตอนปี 2011 ซึ่งทาง MINI เรียกการปรับโฉมครั้งนี้ว่า LCI 2011 (รายละเอียดในหัวข้อ LCI ด้านล่าง)

2009 – MINI JCW World Championship 50 Limited Edition

รถ MINI JCW WC50 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันทั่วโลก (ล็อตแรกผลิตเพียง 250 คัน แต่เพิ่มเป็น 500 ในภายหลัง) ถือเป็น MINI ที่ผลิตจำนวนจำกัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็น MINI R56 ที่มีความพิเศษหลายอย่าง ทั้งสีของตัวรถที่ใช้สีเขียว Connaught Green (สีนี้ไม่ถูกใช้ในรุ่นอื่นๆ เลย), มีลายเซ็นของ Michael Cooper ลูกชายของ John Cooper บนฝากระโปรงรถ และบนแผงคอนโซลฝั่งคนนั่ง, เบาะเลานจ์หนังดำเดินขอบสีแดง, ชุดแต่ง JCW พร้อมพาร์ทคาร์บอนไฟเบอร์เต็มชุด, เครื่องยนต์ JCW จากโรงงาน เกียร์ธรรมดา 6 สปีด, มีตัวเลขประจำรถ ตั้งแต่ 001 ถึง 500 ที่บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างซ้าย-ขวา

2011 – MINI Inspired by Goodwood

MINI ได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนๆ มินิอีกครั้ง (รวมถึงผมด้วย) ด้วยการออก MINI รุ่นพิเศษ ที่ร่วมมือกับ Rolls-Royce (ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก) ออกมาในชื่อรุ่น MINI Inspired by Goodwood ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันทั่วโลก โดยใช้วัสดุตกแต่งภายในเกรด Rolls-Royce เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหนังแท้ลวดลายเฉพาะ, ลายไม้วอลนัท ที่ผลิตในโรงงาน Goodwood ของ Rolls-Royce หรือแม้กระทั่งคอนโซลที่ทำจากหนังแท้สีดำ แทนที่คอนโซลพลาสติกของ MINI ในรุ่นปกติ, พรมหนังแกะอย่างหนา ขนนุ่ม เกรดเดียวกับที่ใช้ใน Rolls-Royce และ เรือนไมล์แบบพิเศษ

F56 (2014-ปัจจุบัน : MINI Hatchback)

ภายในตัวรถมีการปรับปรุงใหม่โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ MINI Connected ใหม่, ระบบช่วยจอด Park Assist, มีกล้องหน้ารถและกล้องถอยจอด, หน้าจอ Head-up Display, มีการปรับปรุงทางการดีไซน์ของคอนโซลกลางใหม่ ที่ไม่ได้เป็นมาตรวัดความเร็วแล้ว แต่เป็นวงแหวนของไฟสีต่างๆ เพื่อบอกสถานะการทำงานของระบบที่กำลังควบคุมอยู่ภายในตัวรถแทน มีการมาตรวัดความเร็วไปอยู่บริเวณหลังพวงมาลัยเพื่อบอกข้อมูลให้กับผู้ขับเพียงคนเดียว

เครื่องยนต์ ถูกอัพเกรดมาใช้เครื่องยนต์ใหม่ของ BMW โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 รุ่นคือ เครื่องยนต์เบนซินรหัส B38 TwinPower Turbo 1.5 ลิตร 3 สูบ ให้กำลัง 134 แรงม้า สำหรับ MINI Cooper, เครื่องยนต์เบนซินรหัส B48 TwinPower Turbo 2.0 ลิตร 4 สูบ ให้กำลัง 189 แรงม้า สำหรับ MINI Cooper S และ เครื่องยนต์ดีเซลรหัส B37 TwinPower Turbo ให้กำลัง 114 แรงม้า สำหรับ MINI Cooper D

2015 – MINI John Cooper Works

MINI เปิดตัว MINI John Cooper Works (JCW) ตัวแรกของเจเนอเรชั่นที่สาม ภายใต้ตัวถัง F56 ที่งาน North American International Auto Show เมือง Detroit ในช่วงเดือนมกราคม 2015 โดยมีการปรับแต่ง  MINI F56 ให้มีความแรงสูงถึง 231 แรงม้า ให้กำลังสูงที่สุดในบรรดา MINI ทุกรุ่น ณ วันเปิดตัว โดยยังคงใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 4 สูบเช่นเดียวกับรุ่น MINI Cooper S แต่สามารถปรับแต่งให้แรงขึ้นมากกว่าเดิมมหาศาล

MINI JCW เปิดตัวในสีใหม่ คือสีเขียว Rebel Green ตัดกับหลังคาสีแดงอย่างโดดเด่น มีตัวเลือกของทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ภายในมีการตกแต่งใหม่ทั้งหมด ด้วยเบาะ Recaro และคอนโซลที่เสริมเอาลวดลายของธงหมากรุก รวมถึงสัญลักษณ์ John Cooper Works อย่างชัดเจนทุกจุด

2018 – LCI (Minor Change)

ต้นปี 2018 MINI ประกาศเปิดตัว MINI Hatch รุ่นปรับโฉมใหม่ (LCI) โดยมีรายละเอียดของอุปกรณ์ตกแต่งที่ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น โดดเด่นด้วยไฟท้ายลวดลาย Union Jack, ปรับโลโก้ให้เป็นโลโก้ MINI แบบใหม่ในทุกตำแหน่ง และ เปลี่ยนมาใข้ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง

Popular Post